บทความกฎหมาย
Contact Us
Notice
การถูกกำจัดมิให้รับมรดก สามารถทำได้ 2 กรณี คือ
1 เป็นผู้ยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก
2 เป็นผู้ถูกกำจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควร
คำอธิบาย
» กรณี ข้อ 1 บุคคลที่จะถูกกำจัดมิให้รับมรดก หมายถึง เฉพาะ "ทายาท" ของเจ้ามรดกเท่านั้น หากเป็นผู้สืบสิทธิของทายาท ไม่ต้องถูกกำจัดไม่ให้รับมรดก
» ทรัพย์สินที่ยักย้ายหรือปิดบัง ต้องเป็น "ทรัพย์มรดก" เท่านั้น ส่วนดอกผลของทรัพยมรดกที่เกิดขึ้นภายหลังเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ไม่ใช่ทรัพย์มรดกของผู้ตาย
กรณีที่ถือว่า ยักย้ายหรือปิดปังทรัพย์มรดก เช่น
» ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่ามีกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนของผู้ตายโดยการครอบครองปรปักษ์
» ทายาทไปรับโอนมรดกแต่เพียงผู้เดียว และโอนให้แก่บุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิได้ัรับมรดก
» แจ้งแก่ทายาทคนอื่นว่า ผู้ตายได้โอนทรัพย์มรดกไปแล้วในขณะที่มีชีวิตอยู่ ซึ่งความจริงไม่ได้โอน แล้วโอนทรัพย์มรดกเป็นของตนเอง
กรณีที่ยังไม่ถือ ว่าเป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก
» ยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดก โดยไม่ได้ระบุว่าผู้ใดเป็นทายาท หรือไม่ได้ระบุทรัพย์มรดกทั้งหมด
» ผู้รับพินัยกรรมปิดบังหรือยักย้ายทรัพย์เฉพาะสิ่งตามพินัยกรรม
การถูกกำจัดมิให้รับมรดกหลังเจ้ามรดกตาย ผู้สืบสันดานก็ยังสืบมรดกต่อไปได้
กรณีทายาทถูกกำจัด ก่อน เจ้ามรดกตาย ผู้สืบสันดานของทายาท ย่อมเข้ารับมรดกแทนที่ได้
กรณีทายาทถูกกำจัด หลัง เจ้ามรดกตาย ผู้สืบสันดาน เข้าสืบมรดกต่อไปได้เสมือนหนึ่งว่าทายาทนั้นตายแล้ว
คำพิพากษาศาลฏีกาที่น่าสนใจ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1724/2545
ทายาทที่จะถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1605 มุ่งเฉพาะบุคคลที่เป็นทายาทของเจ้ามรดกขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายฉะนั้น เมื่อขณะที่ผู้ตายถึงแก่กรรม มีทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิได้รับมรดก คือ พ. ซึ่งเป็นสามีโจทก์ที่ 1 จำเลย อ. และ ซ. มารดาของผู้ตาย แม้ว่าโจทก์ที่ 1 จะเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ พ. แต่จะมีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตายก็เพียงในฐานะผู้สืบสิทธิของ พ. โดยรับมรดกเฉพาะส่วนของ พ. เท่านั้น ถือไม่ได้ว่าโจทก์ที่ 1 เป็นทายาทอันจะถูกกำจัดมิให้รับมรดกของผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5382/2539
จำเลยที่ 2 ไปรับโอนมรดกแต่ผู้เดียว และนำที่ดินทรัพย์มรดกซึ่งตกได้แก่โจทก์ทั้งสาม และจ.ด้วยไปโอนให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดก จึงเป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกเท่าส่วนที่ตนจะได้หรือมากกว่าจำเลยที่ 2 จึงถูกกำจัดมิให้รับมรดกเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1605 ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยที่ 1 รับโอนที่ดินจากจำเลยที่ 2 โดยทราบว่าโจทก์ทั้งสามและจ. เป็นทายาทมีสิทธิรับมรดกจึงเป็นการรับโอนโดยไม่สุจริตจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมโดยการยกให้โดยเสน่หาของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการโอนโดยไม่มีค่าตอบแทนโจทก์ทั้งสาม จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอนดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ขายที่ดินให้จำเลยที่ 6 หลังจากโจทก์ที่ 3 ได้อายัดที่ดินไว้ต่อเจ้าพนักงานที่ดินโดยกรรมการของจำเลยที่ 6 ทราบเรื่องแล้วถือว่าจำเลยที่ 6 รับโอนโดยไม่สุจริต โจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิให้เพิกถอนการโอน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ได้เช่นกัน ผู้ที่จะยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้ก็แต่บุคคลซึ่งเป็นทายาทหรือบุคคลซึ่งชอบที่จะใช้สิทธิของทายาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1755 จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 ไม่ใช่ทายาทหรือผู้จัดการมรดกทั้งจำเลยที่ 2 ถูกกำจัดมิให้รับมรดกจำเลยที่ 2 จึงไม่อยู่ในฐานะทายาทการที่จำเลยที่ 1 รับโอนที่ดินจากจำเลยที่ 2 แล้วให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ถือกรรมสิทธิ์รวมจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นบุคคลซึ่งชอบจะใช้สิทธิของทายาท จึงไม่มีสิทธิยกอายุความมรดกขึ้นต่อสู้โจทก์ทั้งสาม
หลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้อง
มาตรา 1605 ทายาทคนใดยักย้าย หรือปิดบังทรัพย์มรดกเท่าส่วนที่ตนจะได้หรือมากกว่านั้น โดยฉ้อฉลหรือรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทคนอื่น ทายาทคนนั้นต้องถูกกำจัดมิให้ได้มรดกเลย แต่ถ้าได้ยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกน้อยกว่าส่วนที่ตนจะได้ ทายาทคนนั้นต้องถูกกำจัดมิให้ได้มรดกเฉพาะส่วนที่ได้ยักย้ายหรือปิดบังไว้นั้น
มาตรานี้มิให้ใช้บังคับแก่ผู้รับพินัยกรรม ซึ่งผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้เฉพาะสิ่งเฉพาะอย่าง ในอันที่จะได้รับทรัพย์สินนั้น
มาตรา 1606 บุคคลดังต่อไปนี้ ต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควร คือ
(1) ผู้ที่ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้เจตนากระทำ หรือพยายามกระทำให้เจ้ามรดก หรือผู้มีสิทธิได้รับมรดกก่อนตนถึงแก่ความตาย โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
(2) ผู้ที่ได้ฟ้องเจ้ามรดกหาว่าทำความผิดโทษประหารชีวิตและตนเองกลับต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่า มีความผิดฐานฟ้องเท็จหรือทำพยานเท็จ
(3) ผู้ที่รู้แล้วว่า เจ้ามรดกถูกฆ่าโดยเจตนา แต่มิได้นำข้อความนั้นขึ้นร้องเรียนเพื่อเป็นทางที่จะเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ แต่ข้อนี้มิให้ใช้บังคับถ้าบุคคลนั้นมีอายุยังไม่ครบสิบหกปีบริบูรณ์ หรือเป็นคนวิกลจริตไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือถ้าผู้ที่ฆ่านั้นเป็นสามีภริยาหรือผู้บุพการีหรือผู้สืบสันดานของตนโดยตรง
(4) ผู้ที่ฉ้อฉลหรือข่มขู่ให้เจ้ามรดกทำ หรือเพิกถอน หรือเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมแต่บางส่วนหรือทั้งหมดซึ่งเกี่ยวกับทรัพย์มรดก หรือไม่ให้กระทำการดังกล่าวนั้น
(5) ผู้ที่ปลอม ทำลาย หรือปิดบังพินัยกรรมแต่บางส่วนหรือทั้งหมด
เจ้ามรดกอาจถอนข้อกำจัดฐานเป็นผู้ไม่สมควรเสียก็ได้โดยให้อภัยไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
การตัดทายาทมิให้รับมรดก สามารถทำได้ 2 กรณี คือ
1 โดยพินัยกรรมแบบใดๆก็ได้
2 โดยทำเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่
» เมื่อทายาทถูกตัดมิให้รับมรดกแล้ว ย่อมมิใช่ทายาท ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้แบ่งย์มรดก
» ผู้สืบสันดานของผู้ที่ถูกตัดมิให้รับมรดกรับมรดกแทนที่ไม่ได้
» หนังสือตัดมิให้รับมรดก มีผลทันทีที่ทำขึ้นโดยถูกต้องตามกฎหมาย
» กรณีตัดมิให้รับมรดกโดยปริยาย คือ เจ้ามรดกทำพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์สินทั้งหมดแล้ว ให้แก่คนใดคนหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว
การถอนการตัดทายาทโดยธรรมมิให้รับมรดก สามารถกระทำได้ดังนี้
1 ถ้าการตัดมิให้รับมรดก ได้ทำโดยพินัยกรรม จะถอนเสียได้ก็แต่โดยพินัยกรรมเท่านั้น
2 ถ้าการตัดมิให้รับมรดกได้ทำเป็นหนังสือมอบให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ การถอนจะทำโดยพินัยกรรม หรือทำเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่
คำพิพากษาศาลฏีกาที่น่าสนใจ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 527/2540
พินัยกรรมของพ. มีข้อความว่า เมื่อข้าพเจ้าเสียชีวิตลงให้ทรัพย์มรดกของข้าพเจ้าแก่จำเลยแต่เพียงผู้เดียว คำว่าทรัพย์มรดกของข้าพเจ้าแสดงว่าต้องการยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้แก่จำเลยแต่เพียงผู้เดียว แม้ในตอนท้ายของพินัยกรรมจะระบุเลขที่โฉนดที่ดินทรัพย์มรดกไว้ด้วย ก็ไม่ทำให้ทรัพย์มรดกอื่นที่มิได้แจ้งรายละเอียดไว้ในพินัยกรรมเป็นทรัพย์มรดกนอกพินัยกรรมไปได้ เมื่อพ. ทำพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์มรดกทั้งหมดแก่จำเลยแล้ว จึงถือว่าโจทก์ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมถูกตัดมิให้รับมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1608 วรรคสอง
หลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้อง
มาตรา 1608 เจ้ามรดกจะตัดทายาทโดยธรรมของตนคนใด มิให้รับมรดกก็ได้ แต่ด้วยแสดงเจตนาชัดแจ้ง
(1) โดยพินัยกรรม
(2) โดยทำเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่
ตัวทายาทผู้ถูกตัดมิให้รับมรดกนั้น ต้องระบุไว้ให้ชัดเจน
แต่เมื่อบุคคลใดได้ทำพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์มรดกเสียทั้งหมดแล้ว ให้ถือว่าบรรดาทายาทโดยธรรมผู้ที่มิได้รับประโยชน์จากพินัยกรรมเป็นผู้ถูกตัดมิให้รับมรดก
มาตรา 1609 การแสดงเจตนาตัดมิให้รับมรดกนั้น จะถอนเสียก็ได้
ถ้าการตัดมิให้รับมรดกนั้นได้ทำโดยพินัยกรรม จะถอนเสียได้ก็แต่โดยพินัยกรรมเท่านั้น แต่ถ้าการตัดมิให้รับมรดกได้ทำเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ การถอนจะทำตามแบบใดแบบหนึ่งดั่งบัญญัติไว้ใน มาตรา 1608 (1) หรือ (2) ก็ได้
การสละมรดก สามารถทำได้ 2 กรณี คือ
1 ทำเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่
2 ทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
» มีผลย้อนหลังไปถึงเวลาที่เจ้ามรดกตาย ซึ่งเมื่อสละแล้วจะถอดเสียมิได้ จึงไม่เป็นทายาทแล้ว และไม่สามารถร้องขอตั้งหรือถอนผู้จัดการมรดกได้
» แต่การสละนั้น จะทำเพียงบางส่วน หรือทำโดยมีเงื่อนไข หรือมีเงื่อนเวลาไม่ได้ และเมื่อสละแล้ว จะถอนไม่ได้
» ส่วนในกรณี ผู้รับพินัยกรรม สละมรดกนั้น ผู้สืบสันดานไม่มีสิทธิรับมรดกที่สละนั้น
» สละมรดกล่วงหน้าในขณะที่เจ้ามรดกยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้ จะสมบูรณ์ด้วยการใช้สัตยาบันหรือให้การรับรองก็ไม่ได้ ต้องทำภายหลังจากที่มีสิทธิได้รับมรดกแล้ว เท่านั้น การสละก่อน ถือเท่ากับว่าไม่มีการสละมรดก ยังคงมีสิทธิในทรัพย์มรดกในส่วนที่ตนจะพึงได้รับ หากต้องการให้่สมบูรณ์ต้องแสดงเจตนาใหม่ให้ถูกต้อง
» การสละมรดกโดยทำเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายถึง ผู้อำนวยการเขต หรือนายอำเภอ แล้วแต่กรณี
» การสละมรดกโดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ต้องทำ 2 ฝ่าย การแสดงเจตนาเพียงฝ่ายเดียว ไม่เข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1250/2538
การสละมรดกจะต้องแสดงเจตนาชัดแจ้ง เป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1612 โดยกฎกระทรวงกับพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2495 มาตรา 40 กำหนดอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจในกรณีแรกได้แก่ผู้อำนวยการเขต ถ้าทำในกรุงเทพมหานคร หรือนายอำเภอถ้าทำในต่างจังหวัด ฉะนั้นการที่โจทก์กับ ศ. ทำหนังสือสละมรดกให้ไว้แก่เจ้าพนักงานที่ดิน จึงมิใช่หนังสือสละมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1612
หลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้อง
มาตรา 1612 การสละมรดกนั้น ต้องแสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
มาตรา 1613 การสละมรดกนั้น จะทำแต่เพียงบางส่วน หรือทำโดยมีเงื่อนไข หรือเงื่อนเวลาไม่ได้
การสละมรดกนั้น จะถอนเสียมิได้