บทความกฎหมาย
Contact Us
Notice
เจ้าหนี้ มีหลายรูปแบบ ทั้งบุคคลธรรมดาหรือสถาบันการเงินต่างๆ เจ้าหนี้สถาบันการเงิน สามารถคิดดอกเบี้ย เกินร้อยละ 15 ต่อปี
กรณีเจ้าหนี้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่มิใช่สถาบันการเงิน ซึ่งเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และสภาพของดอกเบี้ยที่ลูกหนี้จ่ายเกินไปว่าจะฟ้องเรียกคืนได้ไหม?
พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 5 บัญญัติว่า “บุคคลใดให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ย เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ มีความผิดฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” กฎหมายฉบับนี้ใช้ควบคุมการกู้ยืมระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่มิใช่สถาบันการเงิน
ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่ชอบด้วยกฎหมายในปัจจุบันนี้ คือ ร้อยละ 15 ต่อปี หากเจ้าหนี้คนใดเรียกเกินอัตราดังกล่าว จะทำให้ดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นโมฆะ ไม่อาจเรียกได้ แต่มิได้ทำให้หนี้เงินต้นระงับไปด้วย
คำพิพากษาศาลฏีกาที่น่าสนใจ
คำพิพากษาศาลฏีกาที่ 1452/2511
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ 14,000 บาท จำเลยรับว่ากู้จริงเพียง 10,000 บาท และชำระแล้ว ส่วนเงิน 4,000 บาท เป็นดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือนรวม 8 เดือนมารวมเป็นเงินต้นที่กู้ยืม ถือเป็นคำให้การต่อสู้ว่า หนี้ตามสัญญาจำนวน 4,000 บาท ไม่สมบูรณ์ จำเลยมีสิทธินำสืบพยานบุคคลพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ เมื่อเป็นดอกเบี้ยเกินอัตรา จึงตกเป็นโมฆะทั้งหมด จำเลยชำระต้นเงินแท้จริงแล้ว หนี้จึงระงับสิ้นไป
คำพิพากษาศาลฏีกาที่ 4690/2540
จำเลยรู้และยินยอมให้โจทก์ที่เป็นเจ้าหนี้คำนวณดอกเบี้ยเกินอัตรารวมกับต้น เงิน ถือเป็นนิติกรรมมุ่งผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลย สัญญากู้และจำนองมีผลบังคับใช้ได้ หาเป็นโมฆะทั้งฉบับไม่ เฉพาะดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดและนำไปคำนวณเป็นเงินต้น ถือเป็นการกระทำที่มีวัตถุประสงค์อันเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย จึงตกเป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฏีกาที่ 3864/2524
จำเลยชำระดอกเบี้ยเงินกู้เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจของลูกหนี้ จะเรียกคืนหรือนำไปหักจากต้นเงินไม่ได้ ตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407 ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลใดได้กระทำการอันใดตามอำเภอใจเหมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้โดยรู้อยู่ ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ ท่านว่าบุคคลผู้นั้นหามีสิทธิจะได้รับคืนทรัพย์ไม่"
การทวงหนี้ก็ต้องไม่ละเมิดกฎหมายด้วย เช่น การข่มขู่หรือทำร้าย เป็นต้น มันอาจทำให้เจ้าหนี้ต้องรับโทษอาญา ย่อมไม่คุ้มค่ากันหากเทียบระหว่างหนี้เงินกับอิสรภาพส่วนตัวของเจ้าหนี้แน่ ส่วนลูกหนี้ต้องสำนึกด้วยว่า ยามเดือดร้อนขัดสนเงินทอง จึงไปพึ่งพาเจ้าหนี้ ดังนั้น ไม่ควรคิดหลบหนีหรือโกงเจ้าหนี้เลย แต่ต้องรู้จักสิทธิของตนที่จะไม่ถูกเจ้าหนี้เอาเปรียบเกินเหตุหรือยอมให้อีก ฝ่ายทำละเมิดกฎหมายตามใจชอบ ทั้งสองฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามหลักการของกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะศาลจะคุ้มครองลูกหนี้และเจ้าหนี้ที่สุจริตเท่านั้น ขอให้พึงตระหนักในใจด้วยว่า สังคมจักสงบสุขได้ หากทุกคนปฏิบัติตนภายใต้กรอบของกฎหมายและมีความสุจริตใจต่อกันเป็นพื้นฐาน