คดีแพ่ง
Contact Us
Notice
กู้ยืม - ค้ำประกัน - รับสภาพหนี้
กู้ยืมเงิน คือ สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า “ผู้กู้” ได้ขอยืมเงินจำนวนหนึ่งจากบุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า “ผู้ให้กู้” และผู้กู้ตกลงจะใช้เงินคืนภายในกำหนดเวลาตามที่ตกลงกันไว้ โดยผู้กู้ยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้ตามอัตราที่ตกลงกันไว้ การกู้ยืมเงินจะมีผลสมบูรณ์เมื่อส่งมอบเงินให้กับผู้กู้ และมีหลักฐานในการกู้ยืมเงิน
ทั้งนี้การกู้ยืมเงินกันตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไป จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือที่แสดงข้อความว่าได้มีการกู้เงินกันจริง และได้กู้ยืมเงินกันจำนวนเท่าใด โดยต้องมีการลงลายมือชื่อของผู้กู้เป็นสำคัญ ถ้าการกู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ทำเป็นหนังสือ ผู้ให้กู้จะฟ้องร้องบังคับคดีกันไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653
ค้ำประกัน คือ สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่า "ผู้ค้ำประกัน" สัญญาว่าจะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ ถ้าหากลูกหนี้ไม่ยอมชำระหนี้
หลักฐานการกู้ยืมเงิน - ค้ำประกัน
หลักฐานการกู้ยืมเงินต้องเป็นหนังสือ ซึ่งลงลายมือชื่อผู้กู้ ต้องมีสาระสำคัญให้เห็นว่ามีการกู้ยืมเงินไปก็พอ โดยกฎหมายไม่ได้บังคับให้ลงชื่อผู้ให้กู้ไว้ด้วย หากผู้กู้ไม่สามารถเขียนหนังสือได้ก็ต้องพิมพ์ลายนิ้วมือในหนังสือ โดยมีพยานลงลายมือชื่อรับรอง 2 คน
หลักฐานการค้ำประกันต้องเป็นหนังสือ ซึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน กรณีผู้ค้ำประกันพิมพ์ลายนิ้วมือ ต้องมีพยานลงลายมือชื่อรับรอง 2 คน
ตัวอย่าง
"ข้าพเจ้านายอดสู ได้กู้ยืมเงินจากเฮียล่ำซ่ำ เป็นเงินจำนวน 100,000 บาท โดยข้าพเจ้าสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนดังกล่าวคืนให้ภายในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2555 ลงชื่อ นายอดสู ผู้กู้"
ส่วนเอกสารที่ระบุว่าได้รับเงิน โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นหนี้หรือต้องคืนเงินให้ ก็ไม่เป็นหลักฐานการกู้ยืมเงิน
โดยไม่จำเป็นต้องทำหรือมีขึ้นในขณะกู้ยืม แต่อย่างช้าที่สุดต้องทำและมีอยู่ขณะยื่นคำฟ้องขอให้บังคับชำระหนี้กู้ยืม ตามคำพิพากษาศาลฏีกาที่ 2161/2541 ตัวอย่างเช่น สัญญากู้ บันทึกประจำวัน หนังสือรับสภาพหนี้ จดหมายว่าจะใช้คืน ใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น
อัตราการเรียกดอกเบี้ย
การกู้ยืมเงินตามกฎมายกำหนดว่า ผู้ให้กู้จะเรียกดอกเบี้ยมากกว่าร้อยละ 15 บาทต่อปีหรือร้อยละ 1.25 ต่อเดือนไม่ได้ ถ้ามีการคิดดอกเบี้ยเกินอัตรา ดอกเบี้ยจะตกเป็นโมฆะ คือเสียเปล่า ถือไม่ได้ว่าเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจ เงินที่ชำระหนี้ต้องนำไปหักกับต้นเงินก่อน จะนำไปหักดอกเบี้ยไม่ได้ เพราะเจ้าหนี้ไม่มีสิทธิได้ดอกเบี้ยก่อนผิดนัด อ้างอิงตามคำพิพากษาศาลฏีกาที่ 2131/2560 ผู้ให้กู้คงเรียกได้เฉพาะแต่เงินต้นเท่านั้น
และนอกจากนี้ผู้ให้กู้อาจได้รับโทษจำคุกเพราะมีความผิดทางอาญาฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือข้อหาเบิกความเท็จในข้อสำคัญในคดี มาตรา 177 วรรค 1 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี
อายุความฟ้องเรียกดอกเบี้ยค้างชำระ : มีกำหนดอายุความเพียง 5 ปี
การตกลงให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย (ที่ค้างชำระไม่น้อยกว่า 1 ปี)
คู่สัญญากู้ยืมจะตกลงกันให้เอาดอกเบี้ยนั้นมาทบต้นเข้ากับต้นเงิน แล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนที่ทบเข้ากันนั้นก็ได้ แต่การตกลงนั้นต้องทำเป็นหนังสือ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 วรรคแรก
การรับสภาพหนี้
คือ การที่ลูกหนี้ได้ยอมรับว่าตนเป็นหนี้ต่อเจ้าหนี้จริง อันเป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียวของลูกหนี้ โดยจะมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลง
เกิดขึ้นได้หลายทาง เช่น นิติกรรมสัญญา ละเมิด ลาภมิควรได้ สามารถที่ทำหนังสือรับสภาพหนี้ได้
วิธีการรับสภาพหนี้ เช่นทำเป็นหนังสือ ชำระหนี้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรืออื่นใดๆที่แสดงว่ารับว่าเป็นหี้
หนังสือรับสภาพหนี้ไม่จำเป็นจะต้องลงลายมือชื่อของเจ้าหนี้ หรือพยานก็ได้ กฎหมายกำหนดเพียงจะต้องลงลายมือชื่อของลูกหนี้ เท่านั้น
การรับสภาพหนี้ต้องกระทำก่อนที่หนี้เดิมจะขาดอายุความซึ่งมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลง
อายุความฟ้องคดี 10 ปี
ตัวอย่าง คำพิพากษาศาลฏีกา ที่น่าสนใจ
ประเด็น สัญญากู้ยืมเงินหาย ผู้ให้กู้มีสิทธินำสำเนาหรือพยานบุคคลมานำสืบได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1604/2536
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินแล้ว นำสืบว่าการยืมเงินมีมูลหนี้เดิมมาจากการซื้อขายรถยนต์ เป็นการสืบถึงที่มาแห่งหนี้โดยละเอียดว่าหนี้นั้นมีมูลมาอย่างไร ไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น เมื่อการยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีอยู่จริงและสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว เพียงแต่ขาดหลักฐานแห่งการกู้ยืม ตามกฎหมายห้ามมิให้ฟ้องร้องบังคับคดีเอากับจำเลยที่ 1 เท่านั้น หนี้ดังกล่าวมีการจำนองเป็นประกัน เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามสัญญายืมจึงย่อมบังคับเอากับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้จำนองได้ เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้อุทธรณ์ว่า การนำสืบถึงมูลหนี้เดิมของการยืมเป็นการสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสารต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) แล้ว จำเลยที่ 2และที่ 3 จะยกขึ้นฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ประเด็น อายุความฟ้องคดีทายาทผู้กู้ที่เสียชีวิต ภายใน 1 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8811/2556
สัญญากู้เงินระหว่างโจทก์กับ ส. ไม่ได้กำหนดเวลาชำระต้นเงินคืนไว้ โจทก์ย่อมเรียกให้จำเลยชำระหนี้ได้โดยพลันตาม ป.พ.พ. มาตรา 203 วรรคหนึ่ง และถือเป็นเวลาที่ผู้ให้กู้อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ อายุความจึงเริ่มนับแต่วันถัดจากวันทำสัญญากู้เงิน และเมื่อ ส. ถึงแก่ความตายก่อนที่โจทก์ทวงถามก็ไม่อาจใช้อายุความทั่วไปตามที่โจทก์ฎีกาเพราะสิทธิเรียกร้องอันมีต่อเจ้ามรดกซึ่งยังไม่ถึงกำหนดเวลาบังคับเมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตายก่อนถึงกำหนดนั้น เจ้าหนี้ก็ต้องฟ้องคดีเพื่อบังคับตามสิทธิเรียกร้องนั้น ภายในหนึ่งปีนับแต่ได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก เมื่อโจทก์เบิกความรับว่า ส. ถึงแก่ความตายในวันที่ 1 ธันวาคม 2548 และโจทก์อยู่ช่วยงานศพด้วย แสดงว่าโจทก์รู้ถึงการตายของ ส. ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2548 โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยในฐานะทายาทของ ส. ให้ชำระหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าว เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2551 พ้นกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการตายของ ส. ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคสาม
ประเด็น นำคำเบิกความในคดีอื่นมายื่นฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1286/2535
หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 วรรคแรกนั้น อาจเกิดขึ้นในขณะกู้ยืมเงินกันหรือภายหลังจากนั้นก็ได้ บันทึกคำให้การพยานที่จำเลยเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีอาญาว่า จำเลยกู้เงินจากโจทก์คดีนี้จริงและยังมิได้ชำระหนี้คืนนั้น เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ ใช้ฟ้องร้องบังคับคดีแก่จำเลยได้
ประเด็น สัญญากู็ไม่ระบุอัตราดอกเบี้ยไว้ชัดเจน สามารถเรียกได้ร้อยละ 7.5 ต่อปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 105/2518
สัญญากู้ระบุว่า ผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยทุกเดือน แม้มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ ผู้ให้กู้เรียกค่าดอกเบี้ยได้ร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันกู้
ประเด็น เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะทั้งหมด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 966/2534
สัญญากู้ระบุให้ตกลงคิดดอกเบี้ยกันในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนอัตราดังกล่าวเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 654 และต้องห้ามตาม พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 ดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะทั้งหมด
ประเด็น คิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด มีผลให้ดอกเบี้ยดังกล่าวตกเป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2131/2560
โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยร้อยละ 1.3 ต่อเดือน หรืออัตราร้อยละ 15.6 ต่อปี ซึ่งเป็นการคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 ประกอบ ป.พ.พ. มาตรา 654 มีผลให้ดอกเบี้ยดังกล่าวตกเป็นโมฆะ กรณีถือไม่ได้ว่าจำเลยชำระหนี้โดยจงใจฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือเป็นการกระทำอันใดตามอำเภอใจเสมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันตามกฎหมายที่ต้องชำระ อันจะเป็นเหตุให้จำเลยไม่มีสิทธิได้รับทรัพย์นั้นคืนตาม ป.พ.พ. มาตรา 407 เมื่อดอกเบี้ยของโจทก์เป็นโมฆะ เท่ากับสัญญากู้ยืมมิได้มีการตกลงเรื่องดอกเบี้ยกันไว้ โจทก์ไม่มีสิทธิได้ดอกเบี้ยก่อนผิดนัด และไม่อาจนำเงินที่จำเลยชำระแก่โจทก์มาแล้วไปหักออกจากดอกเบี้ยที่โจทก์ไม่มีสิทธิคิดได้ จึงต้องนำเงินที่จำเลยชำระหนี้ไปชำระต้นเงินทั้งหมด
ประเด็น เงินกู้นอกระบอบ กำหนดดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ถือเป็นการชำระหนี้ที่ฝ่าฝืนข้อห้ามตาม พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ ในส่วนของดอกเบี้ยนั้นเป็นโมฆะ เงินที่ชำระไป ผู้ให้กู้ไม่มีสิทธิได้ ฉะนั้นต้องนำไปหักต้นเงินทั้งหมด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5376/2560
การที่จำเลยยอมชำระดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้แก่โจทก์ ถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้ฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 411 จำเลยหาอาจเรียกร้องให้คืนเงินดอกเบี้ยที่ชำระได้ไม่ แต่ในข้อนี้ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า โจทก์ในฐานะผู้ให้กู้เป็นฝ่ายเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้จากจำเลย เมื่อข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยเป็นโมฆะแล้วและจำเลยไม่อาจเรียกร้องให้คืนเงินดอกเบี้ยที่ชำระฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายได้ โจทก์ก็ย่อมไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยดังกล่าวด้วย ต้องนำดอกเบี้ยที่จำเลยชำระให้แก่โจทก์ 7,500 บาท ไปหักเงินต้นตามหนังสือสัญญากู้เงินฉบับที่หนึ่ง คงเหลือหนี้เงินกู้ตามหนังสือสัญญากู้เงินฉบับนี้ 42,500 บาท เมื่อหนังสือสัญญากู้เงินทั้งสองฉบับได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทินและจำเลยมิได้ชำระหนี้ตามกำหนด จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดต้องรับผิดชำระหนี้ตามหนังสือสัญญากู้เงินทั้งสองฉบับพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายนับแต่วันผิดนัดคือวันถัดจากวันครบกำหนดชำระหนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
ประเด็น แชทในข้อมือถือ/คอมพิวเตอร์ ถือเป็นหลักฐานแทนหนังสือสัญญากู้ยืม
ประกอบด้วย
1. ข้อความแชท(chat) ที่ระบุขอยืมเงิน จำนวนเงิน วันคืน ดอกเบี้ย เป็นต้น
2. ข้อมูลที่ระบุบัญชีผู้ใช้ของผู้ยืมเงิน(Account) ที่เชื่อถือได้ เช่น Facebook Line เป็นต้น โดยห้ามแก้ไขวัน เวลา ที่รับส่งข้อความ
3. หลักฐานการโอน(Slip) ระบุวันเวลา ยอดเงิน
อายุความ
» กรณีมีกำหนดระยะเวลากู้ยืม เจ้าหนี้จะต้องฟ้องภายใน 10 ปี นับจากวันที่ถึงกำหนดชำระตามสัญญา
» กรณีไม่มีกำหนดระยะเวลากู้ยืม เจ้าหนี้จะต้องฟ้องภายใน 10 ปี นับถัดจากวันทำสัญญากู้ยืม เช่น ทำสัญญา วันที่ 30 มกราคม 2540 ไม่กำหนดระยะเวลาชำระคืน อายุความในการฟ้องร้องคดีจะเริ่มวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2540 และคดีหมดอายุความในวันที่ 30 มกราคม 2550
ถ้าพ้นกำหนดนี้แล้ว คดีเป็นอันขาดอายุความ ผู้ให้กู้ไม่มีสิทธิจะฟ้องคดีต่อศาลได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่เกี่ยวข้อง
มาตรา 653 การกู้ยืมเงินกว่า 2,000 บาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
มาตรา 654 ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละ 15 ต่อปี
มาตรา 655 ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่ค้างชำระ แต่ทว่าเมื่อดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่า 1 ปี คู่สัญญากู้ยืมจะตกลงให้เอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับต้นเงิน แล้วให้คิดดอกเบี้ยฝยจำนวนที่ทบเข้ากันนั้นก็ได้ แต่การตกลงเช่นนั้นต้องเป็นทำเป็นหนังสือ
มาตรา 680 อันว่าค้ำประกันนั้น คือ สัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้ค้ำประกันผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่ง เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น
อนึ่ง สัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
มาตรา 681/1 ข้อตกลงใดที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ
ความในวรรคหนึ่ง มิให้ใช้บังคับแก่กรณีผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นนิติบุคคลและยินยอมเข้าผูกพันตนเพื่อรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม ในกรณีเช่นนั้นผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นนิติบุคคลนั้นย่อมไม่มีสิทธิดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 688 มาตรา 689 และมาตรา 690
มาตรา 291 ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน) ก็ดี เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง
มาตรา 193/28 การชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้วนั้นไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่รู้ว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม
บทบัญญัติในวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับแก่การที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันด้วย แต่จะอ้างความข้อนี้ขึ้นเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้
ข้อแนะนำเพิ่มเติมจากทนายความ
1. กรณีไม่ระบุดอกเบี้ยไว้ในสัญญา เมื่อมีการฟ้องร้องกันสามารถคิดดอกเบี้ยได้เพียง 7.5 ต่อปีเท่านั้น ไม่ควรส่งโนติสเรียกดอกเบี้ย และฟ้องคดีในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เพราะอาจมีปัญหาในการคำนวณดอกเบี้ย ที่อาจจะคิดซ้อนได้ การคำนวณดอกเบี้ยไม่ชัดเจนอาจนำมาสู่ดอกเบี้ยเป็นโมฆะได้ แม่ไม่ผิดกฎหมาย แต่ก็ไม่มีสิทธิเรียก(ทนายอาย)
2. การฟ้องร้องเรียกดอกเบี้ยสามารถเรียกได้สูงสุดเพียง 5 ปีเท่านั้น
3. ก่อนดำเนินการฟ้องคดี ควรมีการบอกกล่าวทวงถามเป็นหนังสือที่เรียกว่า "โนติส" ก่อนเสมอ
4. การทำสัญญากู้ยืมเงิน ผู้กู้ต้องไม่ลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่า
5. การลงจำนวนเงิน ควรเขียนจำนวนเป็นตัวหนังสือกำกับไว้ด้วยเสมอ เพื่อป้องกันการแก้ไขเติมจำนวนเงิน
6. ควรมีพยานร่วมลงลายมือชื่อกันฝ่ายละ 1 คน
7. สัญญากู้ยืมเงินถือเป็นตราสารที่ต้องปิดแสตมป์ก่อนนำมาใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง เสียค่าปิดอากรแสตมป์ 2,000 ต่อ 1 บาท สัญญาค้ำประกันเสีย 10 บาท หนังสือรับสภาพหนี้ ไม่ต้องติด
8. ก่อนฟ้องคดีโจทก์ควรต้องมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้"ผู้ค้ำประกันหนี้"ก่อน หากไม่ทวงถาม ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมที่ลูกหนี้ต้องชดใช้แก่โจทก์
9. สัญญาค้ำประกันต้องมีรายละเอียดให้ชัดเจน ในจำนวนหนี้ที่รับผิดชอบ ซึ่งควรแยกเป็นอีกฉบับหนึ่ง
10. กรณีผิดนัด ต้องแจ้งผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ย
อัตราค่าบริการว่าความ คดีผิดสัญญากู้ยืมเงิน ค้ำประกัน รับสภาพหนี้
|
||
ลำดับ
|
รูปแบบคดี
|
ราคา(บาท)
|
1
|
ยื่นคำฟ้อง / ต่อสู้คดี กู้ยืมเงิน ค้ำประกัน รับสภาพหนี้
|
-x-
|
หมายเหตุ อัตรานี้เฉพาะคดีที่มีเขตอำนาจศาลอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลำพูน
นอกเหนือจากนี้ เพิ่มค่าเดินทางกิโลเมตรละ 5 บาท